--- PAGE 1 --- (๓๑) คําพิพากษา ระหว่าง นาง สําหรับศาลใช้ คดีหมายเลขค่าที่ ผบ. / ๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดงที่ ผบ. / ๒๕๖๐ ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ วันที่ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ๓๐ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ความแพ่ง โจทก์ บริษัท จํากัด (มหาชน) จําเลย ง เรื่อง ผิดสัญญา เรียกทรัพย์คืน โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๗๑,๔๙๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๓๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ เสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยจดทะเบียนแปรสภาพ เป็นบริษัทมหาชนจึงสิ้นสภาพนิติบุคคลเดิมแล้ว จำเลยมิได้ผิดสัญญาต่อโจทก์ การบอก เลิกสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญา จึงไม่มีสิทธิ เรียกร้องค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่เรียกร้องสูงเกินส่วนและไม่ถูกต้อง ขอให้ ยกฟ้อง พิเคราะห์... --- PAGE 2 --- (๓๑ พ. ) สําหรับศาลใช้ - ๒ - พิเคราะห์แล้ว โจทก์อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยมีฐานะเป็น นิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่าบริษัท 20 จำกัด “ ต่อมาได้จดทะเบียน แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ใช้ชื่อว่า “บริษัท จํากัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจัดสรรที่ดินและขายอาคารชุด เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ หัวหิน-ชะอำ ห้องชุด โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจองซื้อห้องชุด โครงการ เลขที่ D4-122A5 ชั้นที่ 5 ในราคา ๒,๕๘๐,๐๐๐ บาท ในการชำระราคาโจทก์ได้ชำระเงิน มัดจำในวันเสนอจองซื้อแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินมัดจำงวดทำสัญญาจองซื้อจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจำนวน ๓๗๒,๐๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๓๐ งวด งวดละ ๑๒,๔๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน และตกลงชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์จำนวน ๒,๐๔๘,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 โดยโครงการดังกล่าวกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ โจทก์ได้ชำระเงินจองและเงินมัดจำให้จำเลย ครบถ้วนตามสัญญาแล้วจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.4 แต่จำเลยก่อสร้าง ห้องชุดไม่แล้วเสร็จทันตามสัญญาที่กำหนดไว้ ต่อมาวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ โจทก์จึง มีหนังสือบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์และได้ทำบันทึกตกลงกัน โดยจำเลย ยินยอมตกลงชำระเงินมัดจำคืนให้โจทก์ภายในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙ แบ่งจ่ายเป็นสามงวด งวดละหนึ่งเดือน แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแต่อย่างใด โจทก์จึงยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ โจทก์ได้ตกลง ทำสัญญาจองซื้อห้องชุดโครงการ หัวหิน-ชะอำ ห้องชุดเลขที่ D4-12245 ชั้นที่ 5 /ใน... --- PAGE 3 --- (๓๑ พ. ) <-6- สําหรับศาลใช้ ในราคา ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท ในการชำระราคาโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำในวันเสนอจองซื้อแล้ว 90,000บาท ชำระเงินมัดจำงวดทำสัญญาจองซื้อจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจำนวน ๓๗๒,๐๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๓๐ งวด งวดละ ๑๒,๔๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน และตกลงชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์จำนวน ๒,๐๔๘,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 โดยโครงการดังกล่าวกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ โจทก์ได้ชำระเงินจองและเงินมัดจำให้จำเลยครบถ้วนตามสัญญาแล้วจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๘ แต่จำเลยก่อสร้างห้องชุดไม่แล้วเสร็จทันตามสัญญา ที่กำหนดไว้ ต่อมาวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาให้จำเลย คืนเงินมัดจำแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย เห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยหลุดพ้น ความรับผิดนับแต่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและการ บอกเลิกสัญญาไม่ชอบ เพราะมิใช่นิติบุคคลเดียวกันนั้น ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ.๒๕๓๕ อนุญาตให้บริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดได้ เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนการแปรสภาพก็หมด สภาพจากการเป็นบริษัทจำกัดตาม มาตรา ๑๘๔ แต่ มาตรา ๑๘๔ ยังคงรับรองถึงความ เกี่ยวพันระหว่าง บริษัทจำกัดที่หมดสภาพ ด้วยการแปรสภาพใหม่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดว่า บริษัทมหาชนจำกัดที่แปรสภาพมานั้นย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและความรับผิดของ บริษัทจำกัด การที่จำเลยจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงไม่หลุดพ้นความรับ ผิดต่อโจทก์แต่อย่างใดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คดีนี้ได้ความว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขา /ห้องชุด... --- PAGE 4 --- (๓๑ พ.) - C - สําหรับศาลใช้ ห้องชุดในโครงการ หัวหิน-ชะอำ และวางเงินมัดจำจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ บาท ครบถ้วนตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.4 โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยต้องก่อสร้างห้องชุดให้ แล้วเสร็จตามสัญญาภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถดำเนินการให้ แล้วเสร็จตามสัญญา ภายหลังโจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแจ้งไปยังจำเลยโดยชอบแล้ว ดังนั้น เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยไม่สามารถก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันได้ ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยคืนเงิน มัดจำที่ชำระไปคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา ๒๒๔ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๘ ซึ่งบัญญัติไว้ ความว่า มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกกันไว้เป็นอย่างอื่นท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (๓) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่ได้รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะ พฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ หรือหากบอกเลิกสัญญาคู่สัญญาย่อมกลับคืน สู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม โจทก์สามารถเรียกมัดจำคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๗๑,๔๙๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๓๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยเฉพาะ ค่าขึ้นศาลที่โจทก์ได้รับการยกเว้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ กำหนด ค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท. นาย นาย