--- PAGE 1 --- (๓๑ พ. ) -.6- สําหรับศาลใช้ พิเคราะห์แล้ว โจทก์อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยมีฐานะเป็น นิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่าบริษัท " แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ใช้ชื่อว่า “บริษัท จํากัด “ ต่อมาได้จดทะเบียน จํากัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจัดสรรที่ดินและขายอาคารชุด เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ หัวหิน-ชะอำ ห้องชุด โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจองซื้อห้องชุด โครงการ เลขที่ D4-122A5 ชั้นที่ 5 ในราคา ๒,๔๕๐,๐๐๐ บาท ในการชำระราคาโจทก์ได้ชำระเงิน มัดจำในวันเสนอจองซื้อแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินมัดจำงวดทำสัญญาจองซื้อจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจำนวน ๓๗๒,๐๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๓๐ งวด งวดละ ๑๒,๔๐๐ บาท ทุกวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน และตกลงชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์จำนวน ๒,๐๔๘,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 โดยโครงการดังกล่าวกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบกรรมสิทธิ์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ โจทก์ได้ชำระเงินจองและเงินมัดจำให้จำเลย ครบถ้วนตามสัญญาแล้วจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.4 แต่จำเลยก่อสร้าง ห้องชุดไม่แล้วเสร็จทันตามสัญญาที่กำหนดไว้ ต่อมาวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ โจทก์จึง มีหนังสือบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์และได้ทำบันทึกตกลงกัน โดยจำเลย ยินยอมตกลงชำระเงินมัดจำคืนให้โจทก์ภายในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙ แบ่งจ่ายเป็นสามงวด งวดละหนึ่งเดือน แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแต่อย่างใด โจทก์จึงยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ โจทก์ได้ตกลง ทำสัญญาจองซื้อห้องชุดโครงการ หัวหิน-ชะอำ ห้องชุดเลขที่ D4-12245 ชั้นที่ 5 /ใน...